กำกับ: คิม กยูแท
เขียนบท: โน ฮีคยอง
แนวละคร: โรแมนติก, คอมเมดี้, เมโลดราม่า
จำนวนตอน: 16
ออกอากาศ: เกาหลี –  23 กรกฎาคม 2557 – 11 กันยายน 2557 ทางเอสบีเอส
ไทย – ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 23.30 – 00.30 น. ทางเวิร์คพอยท์ทีวี ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2558 – 20 ธันวาคม 2558

เรื่องย่อ

ละคร “ถ้ารักกัน มันก็โอเค (It’s Okay, That’s Love)” เป็นผลงานสร้างสรรค์ของผู้กำกับ “คิม กยูแท” และผู้เขียนบท “โน ฮีคยอง” ซึ่งโคจรมาร่วมงานกันเป็นครั้งที่ 4  โดยก่อนหน้านี้ทั้งคู่ต่างเคยร่วมงานกับพระเอกหนุ่ม “โจ อินซอง” มาแล้วในละครเรื่อง “สายลมรักในฤดูหนาว (That Winter, the Wind Blows)”

เนื้อหาในละครกล่าวถึงเรื่องราวของ “จาง แจยอล” นักเขียนนวนิยายแนวลึกลับและดีเจรายการวิทยุชื่อดัง ที่ภายนอกเป็นคนโรแมนติก ขี้เล่น มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม และค่อนข้างถือดี แต่ความจริงแล้วเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากบาดแผลในใจ ซ้ำยังเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder หรือ OCD) ทำให้มีพฤติกรรมการนอนที่แปลกประหลาด คือ ต้องนอนในอ่างอาบน้ำของตนเท่านั้น

ส่วนอีกคนคือ “จี เฮซู” แพทย์เฟลโลว์* ปี 1 ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง (เธอเลือกเรียนด้านจิตเวชเพราะจะได้ไม่ต้องผ่าตัด) เฮซูเป็นหมอที่ฉลาด ทะเยอทะยานในอาชีพ และมักเห็นอกเห็นใจผู้ป่วย แต่เธอกลับมีทัศนคติในแง่ลบเรื่องความรัก/ความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม  เธอวินิจฉัยว่าตัวเองขาดความมั่นคงทางใจ ทำให้เป็นโรควิตกกังวล กลัวการผูกมัด และเป็นโรคกลัวการมีเพศสัมพันธ์ (Genophobia)

* แพทย์เฟลโลว์ หรือแพทย์ประจำบ้านต่อยอด (fellowship) คือ แพทย์ประจำบ้านที่จบการเรียนต่อเฉพาะทางในสาขาใดสาขาหนึ่งแล้ว แต่ยังศึกษาการแพทย์เฉพาะทางย่อยต่อไป

ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในรายการทอล์คโชว์ ด้วยความที่ต้องมาดีเบตโชว์กึ๋นกันในรายการสด ทำให้ต่างฝ่ายต่างมองกันเป็นคู่แข่งจึงไม่มีใครยอมใครและกลายเป็นคู่กัดนับแต่นั้น หลังมีเหตุให้ต้องย้ายมาอยู่ในบ้านเดียวกัน (จริงๆ แล้วเป็นบ้านของแจยอลที่แบ่งห้องให้เช่า) ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นความรัก ทั้งแจยอลและเฮซูเริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหาและช่วยรักษาแผลในใจให้กันและกัน แต่หลังคบกันได้ไม่นานความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็มีอันต้องสะดุดและต้องเผชิญบททดสอบอันยิ่งใหญ่ เมื่อพบว่าสภาพจิตใจของแจยอลนั้นมีปัญหารุนแรงถึงขั้นเป็นโรคจิตเภท*

*  โรคจิตเภท (Schizophrenia) คือ กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง

เหตุการณ์ในละครเริ่มต้นขึ้นเมื่อ “จาง แจบอม” ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำหลังติดคุกมานาน 11 ปี (เขาถูกกล่าวหาว่าฆ่าพ่อเลี้ยง) คืนเดียวกันนั้นได้มีการจัดปาร์ตี้วันเกิดริมสระว่ายน้ำ โดย “จาง แจยอล” เจ้าของงานวันเกิดรับหน้าที่เป็นดีเจอยู่บนเวที  เมื่อ “ยาง แทยอง” (เพื่อนร่วมงานและเพื่อนในวัยเด็กของแจยอล) นำเค้กวันเกิดมาอวยพร แจยอลก็เดินลงมาเป่าเค้กและร่วมฉลองกับเพื่อนๆ ตลอดจนแฟนสาว “ลี พุลอิบ” อย่างมีความสุขโดยไม่รู้ว่าภายในงานมีแขกไม่ได้รับเชิญ

ขณะจูบกับแฟนสาวอย่างดูดดื่มท่ามกลางเสียงเชียร์ แจบอมได้ถือส้อมเดินไปหาแจยอลทางด้านหลังพลางร้องตะโกนว่า “เอาอีกๆ” เมื่อหันมาเห็นแจบอม แจยอลถึงกับหน้าถอดสี ทันใดนั้นเขาก็ถูกแจบอมชกเข้าที่ใบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว แจบอมยังใช้ส้อมกระหน่ำแทงแจยอลที่ไหล่อีกหลายครั้ง ก่อนเตะซ้ำที่ใบหน้าจนแจยอลล้มลงไปนอนแน่นิ่งที่พื้นท่ามกลางความตกตะลึงของแขกที่มาร่วมงาน พอหายตกใจเพื่อนๆ ของแจยอลก็ช่วยกันรุมจับแจบอมและเกิดการต่อสู้กัน ขณะที่พุลอิบเข้าไปประคองร่างแจยอลพลางร่ำไห้ เมื่อได้ยินนักเรียนหนุ่มนามว่า “ฮัน คังอู” ร้องเรียก “คุณนักเขียนๆ” แจยอลก็ลืมตาและเอื้อมมือไปหาคังอู (เขามองคังอูด้วยสายตาอันพร่ามัว) แต่เกิดหมดแรงและสติดับวูบไปเสียก่อน

เมื่อฟื้นคืนสติอีกครั้ง แจยอลก็เห็นแจบอมถูกเพื่อนๆ จับกดลงไปนอนที่พื้น ถึงกระนั้นแจบอมก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์เขาหันมามองแจยอลด้วยสายตาอาฆาตพลางขู่ว่า “ฉันจะฆ่าแก” แจยอลยิ้มให้แจบอมพลางบ่นพึมพำว่า “พี่… ทำไมถึงทำอะไรโง่ๆ แบบนี้นะ” พูดจบแจยอลก็น้ำตาร่วง (แจบอมเป็นพี่ชายของแจยอล และเข้าใจแจยอลผิด)

เฮซูขนกระเป๋าเข้ามาอยู่ที่บ้านเช่าหลังหนึ่งแต่เช้าตรู่ เมื่อพบว่ามีจานชามที่ยังไม่ได้ล้างวางอยู่เต็มอ่าง เธอก็หยิบชามใบหนึ่งขึ้นมาล้าง ก่อนหยิบนมในตู้เย็นมาผสมซีเรียลแล้วนำไปนั่งทานหน้าจอทีวี ในตอนนั้นสำนักข่าวรายงานว่า คดีที่นักเขียนระดับเบสท์เซลเลอร์ “จาง แจยอล” ถูกพี่ชายทำร้ายร่างกายได้ถูกนำขึ้นพิจารณาในศาลวันนี้  ระหว่างการไต่สวนแจยอลได้ขอให้ผู้พิพากษาพิจารณาผ่อนปรน โดยอ้างว่าพี่ชายของตนมีอาการบุคลิกภาพแปรปรวนเพราะถูกจองจำมานาน แต่ผู้พิพากษาเห็นว่าคนที่โดนทำร้ายไม่ได้มีเพียงแจยอล หากยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 5 คน ประกอบกับแจบอมไม่สำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไป จึงตัดสินให้จำคุกแจบอมเป็นเวลา 30 เดือน เฮซูเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาและใสปิ๊งของแจยอลในทีวีแล้วรู้สึกหมั่นไส้ จึงเปรยว่าเขาเป็นนักเขียนหรือเซเลบฯ กันแน่ แถมยังฟันธงว่าเขาคงเป็นคาสโนว่าตัวพ่อ ครั้นพอได้ยินว่าแจยอลจะหยุดเขียนหนังสือ เฮซูก็รู้สึกหงุดหงิดและผิดหวังเพราะเธอตั้งตารอหนังสือเล่มใหม่ของเขามานานหลายเดือนแล้ว

“โจ ดงมิน”  (จิตแพทย์รุ่นพี่ รักแรกของเฮซู และเพื่อนร่วมบ้าน) ได้ยินเสียงทีวีดังลั่นเลยตื่นขึ้นมาโวยวาย เมื่อเห็นเฮซูกำลังจะขึ้นไปเรียก “ปาร์ค ซูกวาง”  ให้ลงมาช่วยยกกระเป๋า ดงมินก็รีบห้ามไม่ให้เฮซูเข้าไปปลุกซูกวาง โดยอ้างว่าซูกวางเพิ่งถูกแฟนทิ้งทำให้ร้องไห้หนักมากมา 3 วันเต็มๆ แต่เฮซูแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ครั้นพอเปิดประตูห้องเฮซูก็ถึงกับอึ้งเมื่อพบทิชชูถูกโยนทิ้งเกลื่อนเต็มพื้นห้องของซูกวาง ดงมินยืนยันว่าตนเห็นซูกวางร้องไห้ขี้มูกโป่งจริงๆ พอเห็นเฮซูทำหน้าไม่เชื่อ ดงมินก็ขอให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบเพื่อความสุขของทุกฝ่าย และขอให้รักกันเข้าไว้ (ความจริงแล้วซูกวางอ่านนิยายรักของแจยอลเลยใช้ทิชชูเปลือง)

26 เดือนต่อมา

เช้าวันหนึ่งที่คอนโดสุดหรู… พุลอิบยังคงนอนหลับใหลอยู่ภายในห้องที่เปิดเพลงเสียงดัง ทั้งยังมีเสียงเครื่องจักรก่อสร้างลอยมาแต่ไกล ส่วนแจยอลกำลังอาบน้ำ (ที่ไหล่ด้านหลังของเขามีรอยแผลเป็นเพราะถูกพี่ชายใช้ส้อมแทงเมื่อกว่า 2 ปีก่อน) พอทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วแจยอลก็รูดม่านปิดอ่างอาบน้ำเอาไว้ก่อนล็อคประตูห้องน้ำด้วยระบบดิจิตอล (เขาอาบน้ำโดยใช้ฝักบัว ส่วนอ่างอาบน้ำสีขาวตั้งอยู่บนพรมข้างชั้นวางหนังสือ)

ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์อันหวานชื่นของพุลอิบและแจยอลจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว เพราะแม้ทั้งคู่จะยังมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน แต่ต่างฝ่ายต่างมีท่าทีที่ห่างเหิน พุลอิบซึ่งกำลังแต่งตัว (ด้วยเสื้อผ้าชุดเดิม) บอกแจยอลว่า “แทยองโทรฯ มา เขากำลังหาที่พักให้คุณ ชั้นเลยขู่เขาว่าถ้าหาไม่ได้ภายในอาทิตย์นี้ คุณจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเขา” แจยอลเดินไปปิดประตูกระจกบริเวณระเบียงพลางมองตึกสูงฝั่งตรงข้ามที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างราวกับพุลอิบไม่มีตัวตน พุลอิบเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “คราวหน้าถ้าจะปลุกกันล่ะก็ช่วยสะกิดด้วย อย่าเปิดประตูทิ้งไว้และเปิดเพลงเสียงดังลั่น”

พุลอิบเห็นท่าทีเฉยเมยของแจยอลก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังไล่เธอทางอ้อม แจยอลจึงเข้าไปกอดเธอทางด้านหลัง (พุลอิบมีสีหน้าเฉยชา) เขาบอกเธอว่าวันนี้ตนต้องไปออกรายการทอล์คโชว์ จากนั้นก็พลิกตัวเธอกลับมาแล้วจูบลาที่หน้าผาก เมื่อแจยอลเดินไปแต่งตัว พุลอิบก็รับโทรศัพท์แล้วกล่าวว่า “หนังสือชั้นเหรอ… มีปัญหาอะไร”

ขณะที่หมอเจ้าของไข้ เฮซู และเหล่าแพทย์อินเทิร์นยืนสังเกตอาการคนไข้หญิงนามว่า “เซรา” ที่ถูกทำร้ายอย่างหนักจนบอบช้ำไปทั่วร่างกาย อยู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งบุกมาที่เตียงคนไข้ (เป็นห้องรวม) เขาทั้งตบศีรษะ กระชากคอ และบอกให้เซราลุกขึ้น ก่อนโวยลั่นว่า “ไอ้หมอนี่มันแกล้งหลับ” (เซรารู้สึกตัวแต่นอนนิ่งไม่ตอบโต้ ส่วนเฮซูคอยจับตาดูปฏิกิริยาของเซราและเห็นว่าเธอนอนน้ำตาไหลพราก)  ปรากฏว่าคนไข้รายนี้ผ่านการแปลงเพศจากชายเป็นหญิงและมีแฟนเป็นผู้ชาย ทำให้ครอบครัวรับไม่ได้และรู้สึกอับอายเลยกล่าวหาว่าเธอเป็นโรคจิต เมื่อรู้ว่าเฮซูเป็นจิตแพทย์ชายคนดังกล่าวก็ขอให้จับน้องของตนไปขังที่แผนกจิตเวชแทน

หมอเจ้าของไข้บอกเฮซูว่า เซราผ่านการแปลงเพศเมื่อสามปีที่แล้วและเริ่มมารักษากับตนเมื่อสองปีก่อน ครั้งแรกครอบครัวของเธอหาว่าเธอเป็นบ้าจึงเรียกหมอผีให้มาขับไล่ภูติผีวิญญาณทำให้เธอถูกทุบตีอย่างหนัก ครั้งที่สองเธอมารักษาอาการบาดเจ็บอีกครั้งหลังถูกกล่าวหาว่าถูกผีเข้าและโดนทุบตีระหว่างทำพิธีไล่ผี ส่วนครั้งนี้เธอถูกส่งมารักษาหลังโดนญาติๆ รุมทำร้ายปางตาย เฮซูเห็นญาติของเซรายังคงป้วนเปี้ยนอยู่ในโรงพยาบาลเลยกลัวว่าเซราจะตายคามือญาติๆ เธอจึงแนะให้ย้ายเซราไปรักษาที่ห้องเดี่ยวของแผนกจิตเวชทันที และเธอจะขอดูแลคนไข้รายนี้เอง

เฮซูทดสอบเหล่าแพทย์อินเทิร์นโดยถามว่าถ้าเซราถูกส่งมารักษาที่แผนกจิตเวชจะต้องทำอะไรบ้าง แพทย์คนหนึ่งตอบว่าตรวจสอบประวัติคนไข้ อีกคนตอบว่าตนจะปล่อยเซรากลับบ้านเพราะเซราไม่ได้ผิดปกติอะไร ที่สำคัญก่อนแปลงเพศเธอได้ผ่านการตรวจสภาพจิตใจมาแล้ว แพทย์อีกคนเห็นด้วยเพราะการแปลงเพศเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับและไม่ได้เกิดจากความผิดปกติทางด้านจิตใจ  เฮซูจึงชี้ว่าถ้าเป็นคนปกติทั่วไปเวลาถูกทำร้ายคงหาทางปัดป้องหรือหลบหนี แต่เซรากลับนอนนิ่งแล้วปล่อยให้ตัวเองโดนทำร้าย ในตอนนี้เซราไม่ต่างอะไรกับร่างไร้วิญญาณเพราะได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยไร้ซึ่งความหวัง ไม่มีแม้กระทั่งแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่ และไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ซึ่งเป็นลักษณะของอาการซึมเศร้า ด้วยเหตุนี้เซราจึงจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาทางด้านจิตใจ

หลังจากนั้นเฮซูก็โทรฯ หาดงมิน (เธอเรียกเขาว่า “รุ่นพี่โจ”) เพื่อถามว่าทำไมเขาถึงส่งข้อความมาบอกให้เธอไปออกรายการทอล์คโชว์แทน ดงมินอ้างว่าตนมีนัดกับคนไข้กระทันหัน เฮซูจึงถามว่าเขานอนให้คำปรึกษาคนไข้บนเตียงที่บ้านด้วยหรือ  (เขาคุยกับเธอโดยใช้โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเตียง) เมื่อถูกจับได้ดงมินก็ขอให้เฮซูเห็นใจโดยสารภาพว่าตนอยู่ในห้องกับภรรยา เขาและภรรยาเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีหลังแยกกันอยู่คนละซีกโลก (ภรรยาและลูกของเขาอยู่ที่อเมริกา) และภรรยาของเขาก็กำลังจะกลับไปที่สนามบินในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า แต่เฮซูไม่สนใจและปฏิเสธทันควัน หลังวางสาย เฮซูเห็นคนไข้ชื่อ “ยาง ซูมิน” กำลังถูกแม่พาหนีออกจากโรงพยาบาลจึงรีบวิ่งตามไป

ซูกวางมาหาดงมินที่ห้องและถือวิสาสะเปิดประตูด้วยความเคยชิน พอเห็นภาพดงมินกำลังกุ๊กกิ๊กกับภรรยาอาการของโรคทูเร็ตต์ก็กำเริบ ดงมินเห็นดังนั้นจึงบอกภรรยาว่าไม่ต้องตกใจเพราะอีกสักพักอาการดังกล่าวของซูกวางก็จะหายไปเอง

* โรคทูเร็ตต์ อยู่ในกลุ่มโรคเดียวกับโรคติกส์ (Tic disorder) เกิดจากการที่สมองสั่งการให้เกิดการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ  (Motor tics) โดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น กระพริบตา อ้าปาก ยักไหล่ แขนขากระตก ฯลฯ หรืออาจมีการเปล่งเสียงขึ้น (Vocal Tics) จากลำคอหรือจมูกโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจเช่น ไอ กระเอม สูดจมูก ส่งเสียงในลำคอ บางครั้งอาจมีพูดซ้ำหรือสบถเป็นคำหยาบได้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการทั้งสองอย่าง (Motor และ Vocal tics) จึงเรียกว่า โรคทูเร็ตต์

เฮซูวิ่งตามคนไข้มาที่หน้าโรงพยาบาลพลางบอกแม่ของเธอว่าทำเช่นนี้อันตรายมาก แต่แม่ซูมินไม่ฟังทั้งยังรีบพาซูมินวิ่งขึ้นรถแท็กซี่ ก่อนหันมาขอโทษและบอกเฮซูว่าลูกสาวเธอไม่อยากเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาล  เฮซูวิ่งตามไปพลางร้องบอกว่าหากพาซูมินกลับบ้านเธออาจคิดสั้นฆ่าตัวตาย แต่รถแท็กซี่เคลื่อนตัวออกไปเสียก่อน

“ชเวโฮ” แฟนของเฮซูและโปรแกรมไดเร็คเตอร์ (PD – ผู้ดูแลเนื้อหาและการผลิต) รายการทอล์คโชว์ โทรมาขอร้องเฮซูให้ไปร่วมรายการของตนโดยบอกว่าเป็นรายการสด ตอนนี้ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อยและคนดูก็มาเต็มสตูดิโอแล้วด้วย แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่เพราะรักชเวโฮ เฮซูจึงตอบตกลง พอรู้ว่าเฮซูตอบตกลง “มินยอง” (เพื่อนร่วมงานและรุ่นน้องของชเวโฮ ซึ่งเป็นฟลอร์ไดเร็คเตอร์ (FD) – ผู้กำกับเวที) ก็ร้องกรี๊ดด้วยความดีใจ เธอลากตัวชเวโฮไปที่ห้องเก็บของด้านหลังเวทีแล้วจูบเขาทันที ชเวโฮแย้งว่าอีกไม่นานจะเริ่มซ้อมคิวแล้ว มินยองจึงบอกให้รีบๆ จูบจะได้รีบไป  ขณะที่สองหนุ่มสาวกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม อยู่ๆ ก็มีแสงไฟจากมือถือสาดส่องไปที่ทั้งคู่ ปรากฏว่าคนที่เข้ามาขัดจังหวะคือ แจยอล เขายิ้มเจ้าเล่ห์และกล่าวขอโทษชเวโฮโดยอ้างว่าตนเข้าห้องผิด

เมื่อเฮซูมาถึงมินยองก็รีบออกไปรับและโผเข้ากอดเฮซู  ก่อนถามว่ารู้จักนักเขียนชื่อดัง “จาง แจยอล” ใช่ไหม เฮซูกล่าวว่าเมื่อก่อนเธอเคยเป็นแฟนหนังสือของแจยอลแต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้ว เพราะผลงานของแจยอลตลอดสามปีที่ผ่านมามีแต่นิยายแนวระทึกขวัญสั่นประสาทที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าสะอิดสะเอียน ไม่ว่าจะเป็นคนกินคน คนถูกฝังทั้งเป็น คนถูกเลื่อยหั่นเป็นชิ้นๆ และคนโดนขวานจาม ซึ่งเฮซูคิดว่าแจยอลจะต้องจิตป่วยแน่ๆ  มินยองเห็นเฮซูมองแจยอลในแง่ลบจึงกล่าวว่า “รุ่นพี่ (ชเวโฮ) บอกชั้นว่าพี่เป็นโรคกลัวการมีเพศสัมพันธ์ แต่ชั้นคิดว่าพี่ต้องเป็นโรคกลัวผู้ชายด้วยแน่ๆ” เฮซูแย้งว่าเธอเป็นโรควิตกกังวลและกลัวการผูกมัดต่างหาก (เธอวินิจฉัยอาการด้วยตัวเอง) มินยองจึงบอกว่าถ้าได้พบแจยอลตัวเป็นๆ แล้วเฮซูจะเลิกมองเขาในแง่ลบ เพราะแจยอลทั้งหล่อและฮอตมาก

มินยองพาเฮซูไปพบแจยอลที่ห้องแต่งตัว หลังแนะนำตัวแล้วมินยองก็บอกแจยอลว่าเฮซูเป็นจิตแพทย์ที่จะมาดีเบทกับเขาในวันนี้ แจยอลจำได้ทันทีว่ามินยองคือคนที่แอบจูบกับชเวโฮก่อนหน้านี้ (แต่มินยองไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาเห็นเธอจูบกับชเวโฮคือ แจยอล เพราะถูกแสงไฟส่องตาทำให้ตาพร่า) เฮซูรู้สึกปลื้มและแอบเขินเล็กน้อยเมื่อได้พูดคุยกับนักเขียนสุดหล่อในระยะประชิด แจยอลทำปากหวานโดยบอกเฮซูว่าตนรู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่คู่ดีเบตในวันนี้เป็นจิตแพทย์หญิง เดิมทีตนตั้งใจว่าจะทำให้เวทีดีเบตดุเดือด แต่ตอนนี้ตนชักกลัวว่าตัวเองจะเสียสมาธิเพราะเฮซูเป็นคู่ดีเบตที่สวยเกินไป เฮซูฟังแล้วอดเคลิ้มไม่ได้ แต่สุดท้ายความรู้สึกดีๆ ที่เธอมีต่อแจยอลก็สูญสลายไปในชั่วพริบตาเมื่อเธอเห็นแจยอลนั่งจ้องหน้าอกของช่างแต่งหน้าผ่านทางกระจก

ขณะอยู่หลังเวทีแจยอลเห็นเฮซูค่อนข้างตื่นเต้นจึงแนะนำให้เธอหายใจเข้า-ออกลึกๆ แต่เฮซูกลับแสดงทีท่าเฉยเมย ผิดกับตอนที่พบกันในห้องแต่งตัวราวกับเป็นคนละคน แจยอลจึงนึกสงสัยว่าตนทำอะไรผิด เมื่อพิธีกรกล่าวเชิญแจยอลกับเฮซู ทั้งคู่จึงเดินขึ้นไปบนเวทีถ่ายทอดสด เฮซูรู้สึกประหม่าเลยสะดุดล้มต่อหน้าต่อตาคนดู แจยอลรีบเข้าไปประคองก่อนขยิบตาใส่เธอ หลังจากนั้นการดีเบตก็เริ่มต้นขึ้น

เมื่อพิธีกรตั้งหัวข้อเกี่ยวกับตัวละครหลักในนิยายของแจยอลซึ่งเป็นอาชญากรที่มีสภาพจิตใจไม่ปกติ เฮซูก็เปิดประเด็นว่า การลงโทษไม่ใช่ทางออกเสมอไปเนื่องจากผู้ก่ออาชญากรรมทางเพศหรือเสพติดเซ็กซ์คือผู้ที่เจ็บป่วยทางจิต แจยอลกล่าวว่าอาชญากรและนักล่วงละเมิดทางเพศในนิยายของตนล้วนถูกกฏแห่งกรรมลงโทษ (ฆ่าคนอื่นอย่างไรก็จะตายเช่นนั้น) เฮซูแย้งว่านั่นไม่ใช่กฏแห่งกรรมแต่เป็นการก่ออาชญากรรมซ้อน แจยอลสวนกลับว่าประเด็นนี้คงต้องปล่อยให้ผู้พิพากษาเป็นผู้พิจารณา แต่ในฐานะนักเขียนตนไม่คิดว่าการลงโทษ (แก้แค้น) อาชญากรในนิยายของตนเป็นการกระทำที่เกินรับได้ เขายังเหน็บเฮซูด้วยว่า เธอควรให้ความสำคัญกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก่อนแสดงความเห็นใจผู้กระทำความผิด และนั่นก็ทำให้แจยอลเป็นฝ่ายชนะ ทั้งยังได้ใจผู้ชมไปเต็มๆ  (แจยอลหันไปส่งสายตาให้คังอูซึ่งเป็นหนึ่งในกองเชียร์ของเขา)

แจยอลกล่าวว่าสิ่งที่ตนพยายามจะสื่อในนิยายคือการที่มนุษย์เรามีความเป็นปิศาจร้ายอยู่ในตัว  เขาเชื่อว่ามีเส้นบางๆ คั่นระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรมในตัวมนุษย์ ผู้ดำเนินรายการถามเฮซูว่า คนเราสามารถหลอกจิตแพทย์ให้เชื่อว่าตนเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้หรือไม่ เฮซูตอบว่าอาจจะได้ แต่ไม่ใช่หมอที่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะสาขาจิตวิทยาคลินิกอย่างเธอ แจยอลมั่นใจว่าหากคนฉลาดอย่างตนเป็นคนไข้ของเฮซูจะต้องตบตาเธอได้แน่ไม่ว่าจะโดนทดสอบด้วยวิธีใดก็ตาม เฮซูจึงถามว่าที่เขาพูดหมายความว่าจิตแพทย์ทุกคนฉลาดน้อยกว่าเขาหรือหมายถึงเธอคนเดียวกันแน่ (ในตอนนั้นกวางซูและดงมินนั่งเชียร์เฮซูอยู่ในรถแท็กซี่) ผู้ดำเนินรายการเตือนแจยอลให้ระวังคำพูดเพราะเขาอาจกำลังเปิดศึกกับหมอทั่วประเทศ แจยอลจึงขอถอนคำพูดและกล่าวขอโทษจิตแพทย์ทุกคนโดยออกตัวว่าตนเป็นเพียงนักเขียนที่โง่เขลาและไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ เฮซูจึงเป็นฝ่ายชนะการดีเบตรอบนี้

ผู้ดำเนินรายการถามต่อว่า เราสามารถพิสูจน์บนเวทีดีเบตนี้ได้ไหมว่า มนุษย์โดยทั่วไปเกิดมาพร้อมจิตใจที่บริสุทธิ์หรือมีด้านมืดติดตัวมาตั้งแต่เกิดกันแน่ แจยอลชิงตอบว่าตนพิสูจน์ได้จากนั้นก็หันไปบอกผู้ชมในห้องส่งว่า หากใครเคยคิดที่ปองร้ายผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นการทุบตี สาปแช่ง หรือแม้กระทั่งอยากฆ่าใครบางคนขอให้ยกมือขึ้น ปรากฏว่าผู้ชมทั้งหมดยกมือรวมทั้งคังอูที่ยกมือขึ้นแบบไม่ค่อยมั่นใจ (เมื่อแจยอลหันไปหลิ่วตาให้ คังอูก็ชูมือขึ้นอย่างมั่นใจ) เฮซูจึงขอให้ผู้ที่เคยลงมือทำร้ายผู้อื่นจริงๆ ลุกขึ้นยืน ปรากฏว่าผู้ชมส่วนใหญ่ลุกขึ้น (แจยอลยิ้มอย่างผู้ชนะ) เฮซูกล่าวกับผู้ที่ลุกขึ้นยืนว่า หากใครเคยใช้ขวานจามหัวคนอื่น (แบบเดียวกับตัวละครในนิยายของแจยอล) ขอให้ยืนต่อไป ส่วนคนที่ไม่เคยทำขอให้นั่งลง ทุกคนจึงพร้อมใจกันนั่งลงพลางปรบมือให้เฮซู ทำให้เฮซูมีคะแนนนำ

เฮซูกล่าวว่านี่คือสิ่งที่เธอเห็นในตัวคนปกติทั่วไป (มีความยับยั้งชั่งใจ รู้จักแยกแยะว่าอะไรควรไม่ควร) จากนั้นก็ท้าให้ลองพิสูจน์อีกครั้งโดยใช้หัวข้อเกี่ยวกับพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ* โดยเหน็บว่าเป็นสิ่งที่แจยอลถนัด (แต่นั่นก็เป็นพฤติกรรมของตัวละครหลักในนิยายของแจยอลด้วย) แจยอลจึงถามคนดูที่เป็นผู้ชายว่า มีใครเคยเกิดอารมณ์เวลาเห็นผู้หญิงแปลกหน้าตามท้องถนน หรือแม้กระทั่งเพื่อนบ้านบ้าง ปรากฏว่าผู้ชายส่วนใหญ่ยืนขึ้นรวมทั้งคังอู เฮซูถามต่อว่าแล้วมีใครเคยข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงที่ทำให้ตนเกิดอารมณ์บ้าง ทุกคนจึงต่างพากันนั่งลง

* พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ คือ พฤติกรรมทางเพศที่แตกต่างไปจากบรรทัดฐานทั่วไปของคนในสังคม

เฮซูสรุปว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี แม้บางครั้งเราอาจนึกอยากทำในสิ่งที่เลวร้ายแต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ลงมือทำจริงๆ นั่นเป็นเพราะคนเรารู้จักแยกแยะดีชั่ว แจยอลยังไม่ยอมแพ้และฉวยโอกาสชี้ว่า ถ้าเช่นนั้นนิยายของตนก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะจิตแพทย์อย่างเฮซูเพิ่งพิสูจน์ว่าความคิดหรือจินตนาการเป็นเรื่องปกติและเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถึงแม้จะคิดในสิ่งที่เลวร้ายแต่ถ้าไม่ได้ลงมือทำก็ไม่ใช่เรื่องผิด ดังนั้น เนื้อหาในนิยายของตนซึ่งเกิดจากจินตนาการล้วนๆ จึงไม่อาจสร้างปัญหา เป็นภัย หรือกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงในสังคม  เฮซูได้แต่นั่งอึ้งพูดไม่ออก แจยอลเลยถือโอกาสขายของโดยขอให้คนดูช่วยสนับสนุนนิยายเล่มใหม่ของตนที่กำลังจะวางแผงเร็วๆ นี้

เฮซุได้แต่ส่ายหน้าเพราะสุดท้ายแล้วแจยอลกลายเป็นฝ่ายชนะ แจยอลกล่าวขอบคุณและขอให้คนดูช่วยกันปรบมือให้เฮซู  หลังจากนั้นแจยอลก็แอบขอบคุณเฮซูที่ช่วยกระตุ้นยอดขายหนังสือให้ตน เฮซูแกล้งทำเป็นยิ้มและแอบเหน็บแจยอลว่าเขาไม่ใช่นักเขียนแต่เป็นนักขายตัวพ่อ เธอบอกให้คนดูอ่านนิยายของแจยอลเพื่อความบันเทิงเท่านั้น และขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในด้านดีของมนุษย์ จากนั้นก็ถามคำถามสุดท้าย

เฮซูหยิบกระดาษขึ้นมาสองแผ่นแล้วบอกคนดูว่า ทั้งสองแผ่นเขียนคำว่า “ตาย”  แต่ผู้ร้ายโกหกเหยื่อว่ามีกระดาษใบหนึ่งเขียนคำว่า “รอด”  และให้เหยื่อวัดดวงด้วยการเลือกหยิบกระดาษแผ่นใดแผ่นหนึ่ง โดยบอกว่าถ้าเหยื่อหยิบได้แผ่นที่เขียนคำว่า “รอด” จะรอดตาย เฮซูหันมาถามแจยอลว่าถ้าเป็นเขาจะเลือกกระดาษใบไหนเพื่อให้มีชีวิตรอด แจยอลคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่าถ้าตนนึกออกเมื่อไรจะโทรฯ ไปบอก (คนดูต่างพากันชอบใจและเชียร์ให้ทั้งคู่ออกเดทกัน) เฮซูตัดบทด้วยการเฉลยว่าสุดท้ายแล้วเหยื่อจะรอดตายแต่ไม่ยอมอธิบายว่ารอดได้ยังไง เธอพูดทิ้งท้ายว่า เมื่อถึงตาจนหรือหาทางออกไม่เจอคนเรามักรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง เช่นเดียวกับเหยื่อและทุกคนที่ไม่รู้คำตอบ แต่สำหรับจิตแพทย์แล้วทุกปัญหามีทางออกเสมอไม่ว่าปัญหานั้นจะร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม ขอเพียงเปิดใจให้กว้างแล้วหันมาปรึกษาจิตแพทย์ในยามที่รู้สึกท้อแท้หรือสิ้นหวัง เพราะนั่นเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้ชีวิตทุกคนมีความหวัง

หลังจบรายการ แจยอลซึ่งถูกแฟนๆ รายล้อมขอลายเซ็นบอกให้เฮซูรอตนก่อน แต่เฮซูแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและรีบเดินออกจากสถานีไป ชเวโฮเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปส่งพร้อมทั้งเตือนเฮซูว่าอีกไม่นานจะครบรอบ 300 วัน (ของการเป็นแฟน) เขายังบอกเธอด้วยว่าตนจองห้องพักโรงแรมเอาไว้แล้วและขอให้เธอรักษาสัญญา เฮซูได้แต่ (ฝืน) ยิ้มแทนคำตอบ หลังขึ้นรถแท็กซี่เฮซูเห็นแจยอลเดินมาหาแต่เธอแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แจยอลจึงขอเบอร์เฮซูจากชเวโฮ  ชเวโฮไม่ยอมให้โดยอ้างว่ากลัวเฮซูโกรธ ทั้งยังกันท่าแจยอลด้วยการบอกว่าเฮซูมีแฟนแล้ว แต่แจยอลไม่เชื่อและกล่าวว่าตั้งแต่เกิดมาต่อมใต้สมองของเฮซูคงไม่เคยหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (ฮอร์โมนแห่งรัก) เลยสักครั้ง เธอถึงได้เป็นคนฉุนเฉียว ขณะเดียวกันเฮซูก็นั่งบ่นในรถแท็กซี่ว่า แจยอลเป็นโรคบุคลิกภาพแปรปรวนเลยคิดว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง

คังอูตามแจยอลเข้าไปในห้องน้ำเพื่อขอร้องให้แจยอลช่วยอ่านและวิจารณ์ต้นฉบับนิยายของตน  แต่กลับถูกแจยอลปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย (แจยอลไม่อยากเสียเวลาอ่านเพราะเชื่อว่าคังอูยังเขียนได้ไม่ดีพอ) แจยอลยังคาใจเรื่องกระดาษสองแผ่นจึงถามคังอูว่ารู้คำตอบเรื่องนี้ไหม เขาสงสัยว่าทำไมเหยื่อถึงรอดตาย คังอูโม้ว่าตนรู้แต่แจยอลต้องอ่านต้นฉบับของตนก่อนแล้วตนจึงจะบอก เมื่อถูกแจยอลคาดคั้นว่าคำตอบคืออะไร คังอูก็สารภาพว่าตนไม่รู้ แจยอลจะตีหัวคังอูโทษฐานที่บังอาจโกหกแต่คังอูเบี่ยงตัวหลบ แจยอลจึงขยี้ศีรษะคังอูแทนและถามว่าเขายังถูกพ่อทุบตีอยู่ไหม คังอูตอบแบบเลี่ยงๆ ว่าตนเริ่มฟิตร่างกายตามที่แจยอลแนะนำแล้ว รับรองว่าต่อไปนี้ต้องหลบพ่อทันแน่นอน หลังหยอกล้อกันแล้วแจยอลก็ยอมอ่านต้นฉบับของคังอูโดยย้ำว่าจะอ่านครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย

หลังออกจากสตูดิโอแจยอลยังคงคิดหาคำตอบเรื่องกระดาษสองใบ ส่วนเฮซูนั่งแท็กซี่ไปร่วมสังสรรค์กับเหล่าแพทย์ ดงมินถูกเพื่อนที่ชื่อ “โฮกอล” ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ล้อว่าสาเหตุที่เขาเลือกเรียนจิตแพทย์เป็นเพราะกลัวเลือด แถมโฮกอลยังบอกหมอรุ่นน้องว่า แท้จริงแล้วหมอ “ลี ยองจิน” (ซึ่งนั่งร่วมวงด้วย) เป็นภรรยาเก่าของดงมิน จากนั้นก็นำวีรกรรมในอดีตของทั้งคู่มาแฉอยากสนุกปาก รวมทั้งเรื่องที่ทั้งคู่เคยถูกอาจารย์เรียกไปบำบัดสภาพจิตใจหลังหย่าร้าง ดงมินพยายามเตือนโฮกอลว่าอย่าล้ำเส้นแต่โฮกอลไม่ฟัง ดงมินจึงสาดเหล้าใส่หน้าโฮกอลต่อหน้าหมอทุกคน เฮซูเห็นดังนั้นก็รู้สึกเอือมระอา (เพราะเป็นภาพที่เธอเห็นจนชินตา) จึงขอตัวกลับก่อน แต่แล้วเธอก็โทรฯ หาซูกวางหลังออกจากร้าน

ดงมินตำหนิโฮกอลที่นำอดีตอันขมขื่นของคนอื่นมาล้อเล่น เขายอมรับว่าตนมีอาการซึมเศร้าหลังหย่าจนต้องเข้ารับการบำบัด จากนั้นก็โวยวายลั่นว่าคนเป็นหมอไม่มีสิทธิป่วยเลยหรือ หมอคนหนึ่งบอกดงมินให้ใจเย็นๆ เพราะช่วงนี้สภาพร่างกายและจิตใจโฮกอลไม่ค่อยดี ดงมินจึงถามว่าถ้าโฮกอลเป็นมะเร็งแล้วตนเอามาล้อหรือตะโกนเรียกเขาว่า “ไอ้หมอมะเร็ง” จะรู้สึกยังไง โฮกอลได้ยินดังนั้นจึงเดินออกจากร้านไป พอรู้ว่าโฮกอลเป็นมะเร็งที่ช่องท้องจริงๆ ดงมินก็รีบวิ่งตามไปขอโทษและเอาน้ำดื่ม 1 ขวดไปง้อเพื่อน แต่พอได้ยินว่าโฮกอลเป็นมะเร็งขั้นต้น แถมจุดที่เป็นยังรักษาง่ายแค่ผ่าตัดก็หายโดยไม่ต้องทำคีโมฯ ดงมินก็ตบหัวโฮกอลและแย่งขวดน้ำคืนโทษฐานที่ทำให้ตกใจ โฮกอลกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดเศร้าว่าภรรยาของตนต้องการหย่า ดงมินจึงคืนขวดน้ำให้พลางเปรยว่าตายจากกันไปยังดีเสียกว่าต้องหย่าร้างกัน

เฮซูตามมาแดนซ์กับซูกวางที่คลับแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากซูกวางกำลังสนุกกับสาวๆ เขาจึงไม่ยอมให้เฮซูเข้ามาทักหรือมาเต้นใกล้ๆ เฮซูเลยต้องเต้นตามลำพัง บังเอิญว่าแจยอลก็มีนัดกับคนของสำนักพิมพ์ที่คลับแห่งนี้เช่นกัน พอกวาดสายตาไปรอบๆ  แจยอลแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นเฮซูกำลังยืนเต้นตามลำพังอย่างเมามัน  (เขาหยิบชีสชิ้นหนึ่งใส่ปากแล้วร้องอ๋อ) ในเวลาเดียวกันนั้นที่สำนักพิมพ์กำลังมีปัญหาใหญ่หลังพบว่าหนังสือของพูลอิบกับนิยายเล่มล่าสุดของแจยอล (ที่กำลังจะวางแผง) มีเนื้อหาที่คล้ายกันมาก ทำให้แจยอลถูกกล่าวหาว่าลอกเนื้อหาของพูลอิบ

แจยอลพยายามเข้ามาผูกมิตรกับเฮซูแต่เฮซูไม่อยากเสวนาด้วยและเดินหนีไป (ชายคนหนึ่งเห็นเฮซูจึงมองตามด้วยท่าทางเอาเรื่อง) แจยอลรีบวิ่งตามแล้วใช้ลูกอมมินต์ 2 เม็ดแทนกระดาษในการตอบคำถาม เขาเลือกลูกอมเม็ดหนึ่งแล้วหยิบใส่ปากทันที  จากนั้นก็บอกว่าถ้าเม็ดที่เหลืออยู่ในมือคือกระดาษที่เขียนคำว่าตาย แสดงว่าลูกอมที่อยู่ในปากเขาคือกระดาษที่เขียนคำว่ารอด (แม้โจทย์จะบอกว่ากระดาษ 2 แผ่นเขียนคำว่าตายเหมือนกัน แต่ในเมื่อกลืนอันที่เลือกลงคอไปแล้วก็ไม่เหลือคำว่าตายให้เห็นอีก) เขาสรุปว่า ‘ถามมาแนวไหนก็ตอบไปแนวนั้น’ พลางมอบลูกอมเม็ดที่เหลือให้เฮซู เฮซูหยิบลูกอมใส่ปากแล้วกล่าวว่า “บิงโก” (แจยอลตอบถูก) จากนั้นก็หันหลังเดินหนีไปแต่แจยอลคว้าแขนเฮซูไว้

ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งก็ร้องตะโกนว่า “ไปตายซะ” และวิ่งตรงเข้ามาทำร้ายเฮซู เขากระโดดถีบไหล่เฮซูจนเธอกลิ้งตกบันไดและจะตามไปทำร้ายซ้ำแต่แจยอลช่วยขวางเอาไว้ ปรากฏว่าชายคนดังกล่าวคืออดีตคนไข้ของเฮซูที่ชื่อ  “คิม บอมซุก” เฮซูเห็นแจยอลกระหน่ำชกบอมซุกไม่ยั้งจึงคว้าโหลแก้วใส่หลอดมาทุบศีรษะของแจยอลจนร่างเขาล้มทรุด หลังจากนั้นเฮซูก็พยายามบอกให้บอมซุกสงบสติอารมณ์ แต่บอมซุกกลัวว่าตนเองจะถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้งจึงวิ่งเตลิดออกจากร้านไป เฮซูเข้ามาดูอาการของแจยอลและพบว่าศีรษะของเขามีเลือดออก แต่เธอเป็นห่วงคนไข้ที่กำลังคลุ้มคลั่งมากกว่าจึงรีบวิ่งตามคนไข้ไป พอหายมึนแล้วแจยอลก็รีบวิ่งตามเฮซูไปอีกคน เมื่อเห็นเฮซูวิ่งไล่ตามบอมซุกซึ่งกำลังคลุ้มคลั่งไปตามท้องถนน แจยอลก็วิ่งฝ่ารถยนต์เพื่อตามไปให้ทัน แฟนหนังสือคนหนึ่งจำแจยอลได้จึงเอ่ยทักกลางถนนทำให้ถูกแจยอลยืมรถยนต์เอาดื้อๆ  บอมซุกเห็นรถแท็กซี่จอดติดเครื่องอยู่จึงขับรถแท็กซี่หนีไป เฮซูเลยได้แต่ยืนมองตาปริบๆ

แจยอลขับรถมาจอดรับและเรียกเฮซูขึ้นรถ เฮซูจึงบอกให้เขารีบขับรถไล่ตามบอมซุกไป จากนั้นก็โทรฯ แจ้งโรงพยาบาลว่ามีผู้ป่วยโรคจิตเภทขโมยรถแท็กซี่หลบหนี หลังติดต่อโรงพยาบาลและแพทย์ให้คนไข้แล้ว เฮซูก็บอก (สั่ง) ให้แจยอลเป่าเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ที่เธอ ‘พกติดตัว’ มาด้วยทั้งๆ ที่แจยอลซิ่งตามบอมซุกมาตั้งนานแล้ว ถึงกระนั้นแจยอลก็ยอมเป่าแต่โดยดี เขาบอกเธอว่าหลังหยุดบอมซุกได้แล้วเขาและเธอมีเรื่องต้องเคลียร์กันยาว เฮซูเหลือบเห็นเลือดบริเวณด้านหลังศีรษะของแจยอลจึงนึกขึ้นได้ว่าเธอทำเขาหัวแตก เธอเลยทดสอบการมองเห็นของเขาแล้วบอกว่าถ้าตาพร่ามัวเมื่อไหร่ให้รีบบอก

หลังขับรถตามบอมซุกมาทั้งคืนแจยอลก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า เมื่อเห็นบอมซุกขับรถขึ้นเขาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แจยอลจึงตัดสินใจขับรถตัดหน้าเพื่อหยุดบอมซุกเพราปลายทางเป็นหน้าผา  พอบอมซุกหักหลบรถทั้งสองคันก็เบียดและต่างหมุนคว้างก่อนที่รถแท็กซี่จะไถลขึ้นไปจอดแน่นิ่งบนกองหินริมหน้าผา หลังจากนั้นไม่นานรถตำรวจและรถพยาบาลก็มาถึง แจยอลเห็นเฮซูช่วยดูแล ฉีดยา และปลอบโยนคนไข้ด้วยความเอาใจใส่ก็รู้สึกประทับใจ หลังรถตำรวจและรถพยาบาลไปแล้ว แจยอลจึงบอกข่าวร้ายว่ารถน้ำมันหมด เฮซูซึ่งอยู่ในสภาพอ่อนเพลียและเริ่มปวดไหล่จึงโทรฯ เรียกรถพยาบาลโดยบอกว่าแจยอลได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ

อยู่ๆ เฮซูก็บอกให้แจยอลหลับตา มิหนำซ้ำยังปลดกระดุมเสื้อต่อหน้าแจยอล  แจยอลเห็นดังนั้นก็หันหน้าไปทางอื่นแล้วหลับตาก่อนเผยไต๋ว่าความจริงแล้วตนเองก็รู้สึกดีกับเฮซู เฮซูถอดเสื้อ (อย่างยากลำบากเพราะเจ็บไหล่ข้างหนึ่ง และเริ่มมีอาการเหงื่อออกทั้งที่อากาศเย็น) พลางบอกว่าตนไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาชอบ หลังถอดเสื้อซับในออกมาแล้วเฮซูก็บอกให้แจยอลลืมตาและคุกเข่าต่อหน้าเธอ แจยอลได้แต่ทำตามแบบงงๆ เฮซูดันศีรษะของแจยอลมาซบที่ตัวเธอเพื่อตรวจสอบบาดแผลบริเวณด้านหลังศีรษะของเขา แจยอลเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองมีเลือดออกที่ศีรษะจึงรู้สึกตกใจ เฮซูชี้ว่าแม้เธอจะทำร้ายร่างกายเขาแต่เธอได้รับสิทธิคุ้มครองตามกฏหมายเพราะเป็นการทำร้ายเพื่อปกป้องชีวิตผู้อื่น แจยอลถามเฮซูว่าเธอรู้เมื่อไหร่ว่าตนหัวแตก เฮซูยิ้มแล้วตอบว่ารู้ตั้งแต่แล้ว เธอหยิบน้ำยามาล้างแผลให้แจยอลและพยายามใช้ผ้า  (เสื้อซับใน) พันศีรษะให้เขาแต่ทำได้ไม่ถนัดเพราะแขนใช้การได้ข้างเดียว เมื่อเห็นแจยอลนั่งนิ่งเฮซูก็ถามว่าเขาคิดอะไรอยู่ แจยอลตอบ “กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาคืนยังไง”

แจยอลเห็นเฮซูก้มเก็บผ้าที่ร่วงหลุดมืออย่างยากลำบากจึงรู้ว่าเฮซูใช้แขนได้ข้างเดียว เฮซูพยายามตั้งสติและก้มเก็บผ้าพันแผลอีกครั้งแต่กลับเป็นล้มพับต่อหน้าแจยอล แจยอลพยายามร้องเรียกและตรวจดูว่าเธอยังหายใจอยู่ไหม จากนั้นก็ติดกระดุมและจัดเสื้อผ้าของเฮซูให้เรียบร้อยก่อนอุ้มเธอลงเขา แจยอลมองใบหน้าเฮซูยามต้องแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า พลางกล่าวชมว่าดูๆ ไปเธอก็น่ารักดี หลังจากนั้นไม่นานแจยอลเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ ตาลอย เขามองหน้าเฮซูแล้วกล่าวว่า “ตายในสภาพนี้ก็ไม่เลวเลย…ว่ามั๊ย” พูดจบแจยอลก็ล้มทรุดลง